ในปัจจุบันการใช้งานน้ำมันหล่อลื่นมีอยู่อย่างแพร่หลาย ทั้งในกลุ่มของยานยนต์และกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งหากกำจัดไม่ถูกวิธีนั้น น้ำมันหล่อลื่นที่ถูกใช้งานจะเป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก อีกทั่งระหว่างการใช้งาน น้ำมันหล่อลื่นอาจมีการรั่วไหล ทำให้มีโอกาสเจือปนสู่สิ่งแวดล้อมได้ หน่วยงานในหลายประเทศจึงร่วมกันพัฒนากฎเกณฑ์และมาตรฐานเพื่อควบคุมการใช้งานของน้ำมัน ดังนั้น ปตท.ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างยิ่ง จึงได้คิดค้นและพัฒนาผลิตภัณ์สำหรับสิ่งแวดล้อมขึ้น นั่นคือ “ PTT RACING FORMULA BIOSYN ” และ “ PTT HYDRAULIC BIOSYN ” น้ำมันที่สามารถย่อยสลายได้คือ? องค์กรระดับโลก ASTM หรือ American Society for Testing Marerial ได้นิยามน้ำมันที่สามารถย่อยสลายได้คือ “ น้ำมันสามารถย่อยสลายหรือเปลี่ยนสภาพทางเคมีได้จากโครงสร้างหรือส่วนประกอบของตัวมันเอง ” ซึ่งเป็นน้ำมันที่ทำมาจากน้ำมันสังเคราะห์หรือน้ำมันพืช โดยน้ำมันเหล่านี้สามารถเป็นอาหารของแบคทีเรียตามธรรมชาติ อีกทั้งน้ำมันดังกล่าวหากลงสู่ทะเลก็จะมีความเป็นพิษกับสัตว์ทะเลน้อยกว่าน้ำมันจากปิโตรเลียมทั่วไป ทำไมต้องใช้? เรื่องของมลภาวะที่เกิดกับธรรมชาติ ส่วนหนึ่งมาจากการจัดการน้ำมันอย่างไม่เหมาะสม รวมถึงการปล่อยสู่ธรรมชาติโดยขาดการดูแลอย่างถูกวิธี ซึ่งในบางครั้งอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นการเลือกใช้งานน้ำมันที่มีคุณสมบัติการย่อยสลายเองตามธรรมชาติได้นั้นย่อมเป็นหนึ่งแนวทางที่ลดปัญหาดังกล่าวได้ ถึงแม้ว่าการใช้งานของน้ำมันกลุ่มที่สามารถย่อยสลายตามธรรมชาติได้ถือว่ายังไม่เป็นที่นิยมและยังไม่ถูกบังคับใช้ตามกฎหมาย แต่อย่างไรก็ตาม ปตท...
read moreน้ำมันเครื่องที่ซื้อมาใหม่ส่วนใหญ่จะมีลักษณะคล้ายๆกัน คือ มีสีเหลืองนวลใส ถ้าหากเป็นเกรดสังเคราะห์แล้วละก็ จะมีสีเหลืองอ่อนใสมากกว่า แต่ถ้าหากเราขับรถจนถึงระยะการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องแล้วเวลาดึงก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องอกมาจะเห็นได้ว่าน้ำมันมีสีเข้มขึ้นมาก บางครั้งเป็นสีดำเลยทีเดียว โดยเฉพาะรถเครื่องยนต์ดีเซล เหตุที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากปกติเครื่องยนต์มีการไหม้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งน้ำมันเชื้อเพลิงมีองค์ประกอบของสารไฮโดรคาร์บอนอยู่เป็นจำนวนมาก ผลที่ได้จากการเผาไหม้จะมีเขม่าสีดำออกมาด้วย บางส่วนถูกปล่อยออกมาเป็นควันสีดำให้เราเห็นได้ทั่วไป เช่น รถคันเก่าๆ แต่สิ่งที่ออกมาเป็นควันดำนั้นยังไม่ใช่ทั้งหมด เขม่าพวกนี้ยังหลงเหลืออยู่ในเครื่องยนต์ค่อนข้างมาก หากไปเกาะตามชิ้นส่วนต่างๆในเครื่องยนต์จะทำให้ประสิทธิภาพของเครื่องายนต์นั้นไม่ดีตามไปด้วย การที่มีเขม่าเยอะนั้น ก่อให้เกิดความสกปรกต่อเครื่องยนต์ บางครั้งถ้าเขม่ามาเกาะตามบริเวณต่างๆ เพิ่มมากขึ้น จะทำให้การระบายความร้อนแย่ลง อีกทั้งเขม่าพวกนี้ยังสามารถจับตัวรวมตัวเป็นก้อนมีลักษณะคล้ายโคลน และมีโอกาสเข้าไปอุดตันตามท่อทาง ทำให้น้ำมันเครื่องไม่สามารถไปหล่อเลี้ยงชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ได้ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของน้ำมันเครื่องที่ต้องคอยทำความสะอาดเครื่องยนต์ และไม่ให้เขม่านื้มารวมตัวกันเป็นก้อน โดยการที่น้ำมันจะคอยดึงเขม่าไว้ในตัว ทำให้น้ำมันจึงมีสีดำขึ้นเมื่อถูกใช้งานไปเรื่อยๆ นั่นเอง แล้วน้ำมันเครื่องที่ดีใช้แล้วต้องใส จิงหรือไม่? น้ำมันเครื่องที่ดีเวลาเปลี่ยนถ่ายต้องนำเอาสิ่งสกปรกออกมาจากภายในเครื่องยนต์ อาจเปรียบเทียบได้เหมือนการซักผ้า ถ้าเรานำผ้าสกปรกมาซักในอ่างที่ใส่น้ำและผงซักฟอกไปพร้อมกัน เมื่อซักเสร็จผ้าจะสะอาด น้ำที่อยู่ในอ่างจะดำเพราะว่าได้นำสิ่งสกปรกออกจากเสื้อผ้าไปเป็นที่เรียบร้อย น้ำมันเครื่องก็เช่นกันที่คอยนำเอาสิ่งสกปรกออกจากเครื่องยนต์ทำให้เครื่องสะอาด เพื่อให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ โดยในน้ำมันจะมีสารเพิ่มคุณภาพจำพวกชะล้างและกระจายเขม่าอยู่ (ทำงานคล้ายผงซักฟอก) การชะล้างทำให้สิ่งสกปรกที่ติดอยู่ตามชิ้นส่วน เช่น ลูกสูบ, เสื้อสูบ, เพลา , ข้อเหวี่ยง ออกมาแล้วเก็บเอาไว้ในเนื้อน้ำมัน จากนั้นเป็นหน้าที่ของการกระจายเขม่าไม่ให้เขม่าที่อยู่ในเนื้อน้ำมันจับตัวรวมกันเป็นก้อน เพราะเหตุนี้น้ำมันที่ดีต้องนำสิ่งสกปปรกออกมาไว้ที่เนื้อน้ำมัน ทำให้เครื่องยนต์สะอาดตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าเครื่องยนต์สกปรกแต่น้ำมันใส
read more“เราจะเลือกใช้น้ำมันหล่อลื่นอุตสาหกรรมอย่างไรให้ถูกต้อง”ในภาคอุตสาหกรรม โรงงานอุตสาหกรรมทุกแห่งมีความต้องการให้เครื่องจักรทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและลดระยะเวลาที่ต้องใช้ในการซ่องบำรุง ซึ่งจะนำไปสู่การลดต้นทุนของผลิตภัณฑ์และสามารถแข่งขันราคากับคู่แข่งได้ หรือเพื่อต้องการกำไรที่มากขึ้น ดังนั้น โรงงานอุตสาหกรรมส่วนใหญ่มักจะสอบถามมายังผู้ผลิตน้ำมันหล่อลื่นให้ช่วยแนะนำสารหล่อลื่นที่จะช่วยให้เครื่องจักรสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งวิธีการที่ง่ายที่สุดคือ “การเลือกใช้น้ำมันหล่อลื่นที่ถูกต้อง” การเลือกผลิตภัณฑ์หล่อลื่นให้เหมาะสมกับโรงงานอุตสาหกรรมไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนอกจากประเภทของโรงงานอุตสาหกรรมที่มีอยู่หลากหลายและมีความแตกต่างกันแล้ว น้ำมันอุตสาหกรรมแต่ละชนิดก็อาจจะมีข้อกำหนดและมาตรฐานที่ต้องการที่แตกต่างกันออกไปได้อีกด้วย เริ่มพิจารณาจากลักษณะการใช้งาน บ่อยครั้งที่พบว่าผู้ผลิตน้ำมันหล่อลื่นได้ดำเนินการพัฒนาสูตรตามความต้องการของลูกค้าที่เป็นโรงงานอุตสาหกรรมในแต่ละกลุ่มแต่ะรายเป็นการเฉพาะ โดยที่จะมีคุณสมบัติพื้นฐานที่ต้องการโดยทั่วไป ที่น้ำมันหล่อลื่นอุตสาหกรรมทุกชนิดควรจะต้องมี ได้แก่ ลดแรงเสียดทาน ป้องกันการสึกหรอ ป้องกันการกัดกร่อน ระบายความร้อน และไม่ทำปฏิกิริยากับซีล และเนื่องจากลักษณะการใช้งานที่มีความหลากหลายมาก ทำให้น้ำมันหล่อลื่นอุตสาหกรรมจำเป็นจะต้องมีคุณสมบัติพิเศษเพิ่มเติมด้วย เพื่อให้เหมาะกับการใช้งานเฉพาะจุด ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเลือกใช้น้ำมันหล่อลื่นอุตสาหกรรมที่ถูกต้อง 1.ชนิดของเครื่องจักร เครื่องจักรต่างชนิดกันจะมีลักษณะการทำงานที่ต่างกัน ดังนั้นจึงต้องการคุณสมบัติของน้ำมันหล่อลื่นแตกต่างกันออกไปด้วย สูตรน้ำมันที่เหมาะสมก็จะต่างกัน เช่น ระบบไฮดรอลิกส่งกำลังมีความต้องการน้ำมันที่มีสารเพิ่มคุณภาพชนิดป้องการการสึกหรอ (Antiwear) เพื่อป้องกันการสึกหรอที่มักจะเกิดที่ปั๊มไฮดรอลิก, ระบบเกียร์ ต้องการน้ำมันที่มีสารเพิ่มคุณภาพชนิดรับแรงกด (Extreme Pressure, EP) เพื่อทำหน้าที่ปกป้องฟันเกียร์จากการสึกหรอ ควรระลึกไว้เสมอว่า การเลือกน้ำมันหล่อลื่นผิดประเภทเครื่องจักร อาจทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงได้ ..
read moreคอมเพรสเซอร์เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเพิ่มความดันให้กับก๊าซหรือส่วนผสมของก๊าซ เช่น อากาศ แล้วสามารถส่งผ่านก๊าซหรืออากาศที่ถูกอัดนี้ไปยังสถานที่ที่จะใช้งาน เช่น เครื่องมือที่ขับด้วยกาลังลม เครื่องมือฉีดพ่นของเหลว เครื่องสูบลม หรือเครื่องอัดจารบี การอัดก๊าซเพื่อให้สามารถเก็บในถังเก็บก๊าซได้เป็นปริมาณมากไม่ว่าจะอยู่ในรูปของก๊าซหรือของเหลว เครื่องคอมเพรสเซอร์ขนาดใหญ่ถูกใช้ในการอัดและส่งก๊าซธรรมชาติ ใช้ในโรงงานเหล็กและเคมีภัณฑ์ เป็นต้น เมื่อก๊าซถูกอัด อุณหภูมิจะสูงขึ้นเป็นสัดส่วนกับแรงอัด ดังนั้นการอัดก๊าซความดันสูงอุณหภูมิของก๊าซจะสูงมาก เครื่องคอมเพรสเซอร์อัดก๊าซบางชนิดจึงถูกออกแบบให้สามารถอัดก๊าซได้หลายขั้นตอน และในแต่ละขั้นตอนก๊าซที่ถูกอัดจะถูกช่วยระบายความร้อนออกไป คอมเพรสเซอร์สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ 1.แบบลูกสูบ (Reciprocating) 2.แบบโรตารี่ (Rotary Positive Displacement) 3.แบบใช้แรงเหวี่ยงและไหลตามแกน (Centrifugal & Axial Flow) คอมเพรสเซอร์แบบลูกสูบ ใช้วิธีการอัดก๊าซโดยการเคลื่อนที่กลับไปกลับมาของตัวลูกสูบในกระบอกสูบ มีน้าแบบอัดก๊าซด้านเดียว (Single-Acting) และอัดก๊าซได้สองด้าน (Double-Acting) นอกจากนี้ยังแบ่งเป็นแบบลูกสูบเดี่ยวหรือลูกสูบหลายลูก จัดเรียงลาดับเป็นแนวเดียวกัน หรือเป็นแบบรูปตัววีหรือดับเบิ้ลยู เป็นต้น คอมเพรสเซอร์แบบโรตารี่ ก๊าซจะถูกดูดเข้ามาในระบบแล้วจึงถูกอัดผ่านใบพัดหรือสกรูก่อนที่จะถูกส่งออกไปใช้งาน คอมเพรสเซอร์แบบนี้ยังสามารถแบ่งออกได้เป็นแบบใบพัดเลขแปด (Straight Lobe), แบบสกรู (Screw) และแบบแผ่นเลื่อน (Sliding Vane) คอมเพรสเซอร์แบบใช้แรงเหวี่ยงและไหลตามแกน ใช้วิธีการเพิ่มพลังงานจลน์กับก๊าซในรูปของความเร็ว..
read moreความหนืด (Viscosity) เป็น ค่าที่บอกถึงคุณสมบัติการต้านการไหลของน้ำมันหล่อลื่น ยิ่งมีค่ามากก็หมายถึงน้ำมันหล่อลื่นนั้นเหนียวข้นมากหรือหนืดมาก ยิ่งมีค่าน้อยก็หมายถึงความหนืดน้อย ค่าความหนืดมีมาตรฐานกำหนดอยู่หลายมาตรฐานด้วย กันตามแต่หน่วยงานหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องเป็นผู้กำหนด ซึ่งทำให้ค่าความหนืดแต่ละมาตรฐานมีค่าที่แตกต่างกันออกไป อาทิ มาตรฐาน ISO, SAE (พบในน้ำมันหล่อลื่นของยานยนต์), SUS (ส่วนใหญ่เป็นของอเมริกา), AGMA (พบในน้ำมันเกียร์อุตสาหกรรม), Engler, Redwood เป็นต้น สำหรับมาตรฐานที่นิมใช้กันหรือพบเห็นกันมาก ได้แก่ ISO (International Organization for Standardization) - เป็นมาตรฐานที่นิยมใช้กันมากเป็นสากล โดยใช้วิธีการวัดที่อุณหภูมิมาตรฐาน 40 oC มีหน่วยเป็น เซนติสโตรก (Centistroke, cSt) แล้วกำหนดเป็นลำดับตัวเลขเรียกว่า ISO VG (ISO Viscosity Grade) ซึ่งพอจะลำดับได้ ดังนี้ ISO VG 2, 3, 5, 7, 10, 15, 22, 32, 46, 68, 100, 150,..
read moreเครื่องจักรกลทุกชนิดประกอบด้วยชิ้นส่วนต่างๆที่เคลื่อนไหว การเสียดสีของผิวโลหะย่อมก่อให้เกิดความร้อนและการสึกหรอ ดังนั้น ผลิตภัณฑ์หล่อลื่นจึงมีบทบาทที่จะช่วยขจัดปัญหาเหล่านั้นได้ น้ำมันหล่อลื่นและจารบี น้ำและสิ่งสกปรก เช่น ฝุ่น ทราย ถ้าเข้าไปปะปนกับน้ำมันหล่อลื่นจะทำให้คุณภาพของน้ำมันเสื่อมและการสึกหรอจะเกิดขึ้น ดังนั้น ในการเก็บรักษา และการนำน้ำมันไปใช้ควรระมัดระวังมิให้สิ่งต่างๆ เหล่านั้นเข้าไปได้ ภาชนะต่างๆ ที่ใช้ในการถ่ายเทควรจะเก็บไว้ในที่มิดชิดเช่นเดียวกัน การล้างเครื่อง การล้างภายในเครื่องควรจะทำเมื่อใช้งานแล้วในระยะหนึ่ง เพื่อจะได้ถ่ายเอาสิ่งสกปรกต่างๆซึ่งตกค้างอยู่ภายในโดยใช้เชลล์ฟลัชชิ่งออยล์ การทำความสะอาดส่วนอื่นๆ ที่จำเป็น ไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิง ไส้กรองอากาศและไส้กรองน้ำมันเครื่อง ควรจะได้รับการตรวจตราและล้างทำความสะอาด หรือเปลี่ยนตามความเหมาะสม เครื่องยนต์ เมื่อเริ่มติดเครื่อง ควรให้เครื่องยนต์เดินเบาประมาณ 2-3 นาที เพื่อ Warm-up การหล่อลื่นจะได้ผลดีทั่วทุกส่วนของเครื่องยนต์ โดยเฉพาะเครื่องยนต์ที่มีระบบเทอร์โบชาร์จ เนื่องจากเป็นระบบที่มีความเร็วสูงมาก ถังน้ำมันเชื้อเพลิง ควรเติมเชื้อเพลิงให้เต็มถังเมื่อเสร็จงาน เพื่อป้องกัน Condensation นอกจากนี้ควรไขก๊อกถ่ายน้ำมันก้นถังเพื่อให้สิ่งสกปรก เช่น ฝุ่น สนิม ฯลฯ ออกจากถังเสีย น้ำมันหล่อลื่นเกียร์ ทอร์คคอนเวิร์ทเตอร์และเฟืองท้าย เลือกใช้แต่ชนิดและเกรดที่เหมาะสม ถูกต้องตามผู้ผลิตเครื่องมือแนะนา บันทึกกาหนดเวลาการใช้งาน เพื่อเตือนความจาในเรื่องการถ่ายเปลี่ยนหรือ Top-up ในระบบดังกล่าวจะมีช่อง Ventilation จึงต้องควรระวังเมื่อเครื่องจักรกลทำงานอยู่ในที่ลุ่ม..
read moreน้ำมันเกียร์มีการแบ่งเกรดตามการใช้งานอย่างไร ประเภทของน้ำมันเกียร์และเฟืองท้ายตามมาตรฐานของ API แบ่งได้ดังนี้ - GL – 1 เป็นการใช้งานของเกียร์ประเภทเฟืองเดือยหมู เฟืองหนอน ในสภาพงานเบา โดยไม่จำเป็นต้องเติมสารเพิ่มคุณภาพ - GL – 2 ใช้สำหรับงานของเกียร์ประเภทเฟืองหนอน เพลาล้อ ซึ่งเป็นงานหนักกว่าประเภท GL – 1 น้ำมันที่ใช้ควรมีสารเพิ่มคุณภาพเพื่อป้องกันการสึกหรอ - GL – 3 ใช้สำหรับงานของเกียร์ประเภทเฟืองเดือยหมูและกระปุกเกียร์ที่มีสภาพความเร็ว และการรับแรงขนาดปานกลาง ใช้น้ำมันที่มีสารเพิ่มคุณภาพแรงกดขนาดสูงปานกลาง - GL – 4 ใช้สำหรับสภาพงานของเกียร์ประเภทเฟือง ไฮปอยด์ (hypoid) ที่ทำงานหนักปานกลางมีคุณลักษณะของการทำงานขั้น MIL – L-2105 - GL – 5 ใช้สำหรับสภาพงานของเกียร์ประเภทเฟืองไฮปอยด์ ที่ทำงานหนักมากและมีคุณลักษณะของงานขั้น MIL – L-2105B, C หรือใกล้เคียงกับ MOT CS 3000B..
read moreความหมายของเกรดน้ำมันเครื่องที่อยู่ข้างกระป๋องนั้นมีความสำคัญต่อการใช้งานของเครื่องยนต์เราสามารถแบ่งเกรดน้ำมันเครื่องออกได้สองประเภทด้วยกันดังนี้ -แบ่งตามความหนืด -แบ่งตามสภาพการใช้งาน การแบ่งเกรดน้ำมันเครื่องตามความหนืด แบบนี้จะเป็นที่คุ้นเคยและใช้กันมานานแล้ว และเป็นมาตรฐานที่ใช้อ้างอิงของอีกหลายสถาบันที่ตั้งขึ้นมาทีหลังอีกด้วย พูดถึง มาตรฐาน “SAE” คงจะรู้จักกันมาตรฐานนี้ก่อตั่งโดย “สมาคมวิศวกรยานยนต์” ของอเมริกา (Society of Automotive Engineers) การแบ่งเกรดของน้ำมันเครื่อง แบบนี้จะแบ่งเป็นเบอร์ เช่น 30,40,50 ซึ่งตัวเลขแต่ละชุดนั้นจะหมายถึงค่าความข้นใสหรือค่าความหนืดของน้ำมันหล่อลื่น โดยน้ำมันที่มีเบอร์ต่ำจะใสกว่าเบอร์สูง ตัวเลขที่แสดงอยู่นั้นจะมาจากการทดสอบที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส หมายความว่าที่อุณหภูมิทำการทดสอบ น้ำมันเบอร์ 50 จะมีความหนืดมากกว่าน้ำมันเบอร์ 30 เป็นต้น น้ำมันที่มีตัว “W” ต่อท้ายนั้นย่อมาจากคาว่า Winter เป็นน้ำมันเครื่องที่เหมาะสำหรับใช้ในอุณหภูมิต่ำ ยิ่งตัวเลขน้อยยิ่งมีความข้นใสน้อย จะวัดกันที่อุณหภูมิต่ำ -18 องศาเซลเซียสน้ำมันเบอร์ 5W จะมีความข้นใสน้อยกว่าเบอร์ 15W นั่นหมายความว่าตัวเลขสำหรับเกรดที่มี “W” ต่อท้ายเลขยิ่งน้อย ยิ่งคงความข้นใสในอุณหภูมิที่ติดลบมาก ๆ ได้เหมาะสำหรับใช้งานในประเทศที่มีภูมิอากาศหนาวเย็นมาก อย่างเกรด 0W นั้นสามารถคงความข้นใสได้ถึงประมาณ -30 องศาเซลเซียส เกรด..
read moreดังได้กล่าวแล้วว่าอายุการใช้งานของน้ำมันสำหรับถ่ายเทความร้อนจะขึ้นกับลักษณะการออกแบบระบบอุปกรณ์และการเอาใจใส่บำรุงรักษาในขณะใช้งานเป็นอันมาก ดังนั้นผู้ใช้จึงควรคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ดังต่อไปนี้- 1. ขนาดของปั๊มจะต้องใหญ่พอที่จะสามารถถ่ายเทน้ำมันผ่านท่อในอุปกรณ์ให้ความร้อนกับน้ำมันในอัตราความเร็วผ่านผิวท่อระหว่าง 2 ถึง 3.5 เมตรต่อวินาทีในลักษณะเชี่ยวพล่าน (Turbulent) 2. เนื้อที่ของผิวท่อควรจะมากพอที่จะทำให้ปริมาณความร้อนที่ส่งผ่านผิวท่อต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่ผิวไม่สูงเกินไป และสามารถรักษาอุณหภูมิของผิวท่อด้านสัมผัสน้ำมันไม่ให้เกิน 320๐C 3. ผนังฉนวนความร้อนของเตาอุปกรณ์ควรใช้อิฐทนไฟจำนวนน้อยที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการคายความร้อนกลับจากอิฐทนไฟสู่น้ำมันในท่อในขณะดับไฟและหยุดปั๊มหรือปั๊มเสีย ซึ่งจะทำให้น้ำมันในส่วนที่ค้างอยู่ในท่อในเตาร้อนจัดจนแตกตัวเป็นเขม่าจับผิวท่อได้ หากใช้วัสดุฉนวนความร้อนประเภทไม่อมความร้อนจะดีที่สุด หากใช้เชื้อเพลิงเผาให้ความร้อนต้องระวังอย่าให้เปลวไฟชนผนังท่อน้ำมันเพื่อป้องกันผิวท่อมิให้ร้อนจัดจนเกิดอุณหภูมิที่น้ำมันจะคงตัวอยู่ได้ 4. อ่างพักน้ำมันสำหรับรับการขยายตัวของน้ำมันเมื่อน้ำมันร้อนขึ้นต้องใหญ่พอที่จะรับอัตราการขยายตัวของน้ามัน 20 % เมื่อเทียบกับปริมาตร ณ อุณหภูมิบรรยากาศปกติ อ่างพักนี้ควรตั้งอยู่ระดับสูงกว่าอุปกรณ์อื่นๆ ทั้งหมดในระบบถ่ายเทความร้อน และควรต่อเข้ากับระบบ ณ จุดทางดูดเข้าของปั๊มน้ำมันเพื่อเสริมแรงอัดน้ำมันเข้าสู่ปั๊ม ป้องกันการเกิดโพรงไอในเรือนปั๊ม (Cavitation) อันอาจทำให้ปั๊มเสียหายเร็วได้ 5. ควรออกแบบระบบท่อในลักษณะที่ป้องกันมิให้น้ำมันร้อนไหลผ่านอ่างพัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากช่องว่างเหนือระดับน้ำมันในอ่างพักเป็นอากาศ เพื่อป้องกันมิให้น้ำมันร้อนๆ สัมผัสกับอ๊อคซิเจนในอากาศตลอดเวลา ซึ่งจะทำให้น้ำมันเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ในบางระบบที่พิถีพิถันช่องว่างเหนืออ่างพักจะบรรจุด้วยก๊าซเฉื่อย เช่น ไนโตรเจน เพื่อยืดอายุของน้ำมันถ่ายเทความร้อน ท่อที่ต่อเชื่อมระหว่างอ่างพักน้ำมันกับระบบควรมีขนาดเล็กและเปลือย เพื่อให้น้ำมันร้อนที่ขยายตัวผ่านท่อนี้เข้าสู่อ่างพักสามารถคายความร้อนสู่บรรยากาศ เป็นการลดอุณหภูมิของน้ำมันในอ่างพัก ซึ่งจะทำให้อายุการใช้งานของน้ำมันยาวนานขึ้น 6. ตามจุดหักโค้งและจุดสูงบางจุดในระบบท่อส่งน้ำมันหมุนเวียน ควรติดตั้งวาวล์และท่อสำหรับระบายไอหรืออากาศเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเรื่อง Vapour Lock หรือ Air..
read moreน้ำมัน หล่อลื่นที่ใช้กันในปัจจุบันนี้ส่วนมากเป็นพวกน้ำมันแร่ (Mineral Oil) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากการกลั่นน้ำมันดิบ พวกที่เป็นน้ำมันสังเคราะห์ (Synthetic Oil) ก็มีใช้อยู่บ้าง แต่เป็นจำนวนน้อยและใช้ในงานพิเศษๆ เท่านั้น ในที่นี้จะขอกล่าวเฉพาะการเสื่อมคุณภาพของน้ำมันหล่อลื่นชนิดน้ำมันแร่เท่า นั้น น้ำมันหล่อลื่นแต่ละชนิดได้ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อให้มีคุณสมบัติและคุณภาพเหมาะ สมสำหรับงานหล่อลื่นแต่ละประเภท โดยการนาเอาน้ำมันพื้นฐานที่มีความหนืดพอเหมาะมาปรับปรุงคุณภาพด้วยการเติม สารเคมีเพิ่มคุณภาพ เพื่อให้คุณสมบัติพิเศษตามความต้องการ เช่น คุณสมบัติในการชะล้างป้องกันฟอง หรือรับแรงกด เป็นต้น เมื่อถูกใช้งานคุณสมบัติและคุณภาพของน้ำมันหล่อลื่นต้องสูญเสียหรือเสื่อม ถอยลงไปเรื่อยๆ จนในที่สุดไม่อยู่ในสภาพที่เหมาะสมกับการใช้งานอีกต่อไป ลักษณะการเสื่อมสภาพของน้ำมันหล่อลื่นสามารถจำแนกออกได้เป็น 3 ลักษณะใหญ่ๆ คือ 1. การเสื่อมสภาพของตัวเนื้อน้ำมันที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาอ็อกซิเดชั่น 2. สารเพิ่มคุณภาพในน้ำมันถูกใช้หมดไป หรือเสื่อมสภาพไป 3...
read more